กล้วยไม้ เบื้องต้น

ในบทความนี้ จะมีหัวข้อดังต่อไปนี้
  1. การจัดกลุ่มกล้วยไม้
  2. ประเภทของการเจริญเติบโต (อิงอาศัยบนต้นไม้, ขึ้นตามโขดหิน, ...)
  3. ลักษณะการเติบโตของกล้วยไม้ (แตกกอ, ไม่แตกกอ)
  4. ระบบรากของกล้วยไม้ (รากดิน, รากกึ่งดิน, รากกึ่งอากาศ และรากอากาศ)
  5. ลำต้นกล้วยไม้
  6. ใบกล้วยไม้
  7. ช่อดอกกล้วยไม้
  8. ดอกกล้วยไม้
  9. ฝักกล้วยไม้
  10. จำแนกกล้วยไม้ตามลักษณะที่ขึ้นอยู่ในสภาพธรรมชาติ

1. การจัดกลุ่มกล้วยไม้

กล้วยไม้ อยู่ใน Kingdom Plantae.
กล้วยไม้จัดอยู่ใน Order Asparagales (แต่ก่อนเป็น Orchidales)
กล้วยไม้อยู่ใน Family Orchidaceae.
ใน Family มีกล้วยไม้ประมาณ 700 กว่าสกุล (genus)
แต่ละสกุลมีหลายชนิด รวมทุกชนิดทั่วโลก มีประมาณ 30,000 กว่าชนิด (สายพันธุ์) (species)





2. ประเภทของการเจริญเติบโต มี 3 ประเภท คือ

1.กล้วยไม้อิงอาศัย (epiphytic orchid)


ลักษณะรากจะยึดเกาะกับต้นไม้
กล้วยไม้อิงอาศัยบนต้นไม้
        เป็นกล้วยไม้ที่อาศัยบนต้นไม้ยืนต้น ใช้รากยึดเกาะต้นไม้ให้ติดแน่น และยังสามารถหาอาหารมาเลี้ยงลำต้นด้วย กล้วยไม้ส่วนใหญ่ที่พบในประเทศ เป็นกล้วยไม้กลุ่มนี้ เช่น สกุลสิงโต สกุลหวาย เป็นต้น













2.กล้วยไม้ดิน (terrestrail orchid)


กล้วยไม้เจริญเติบโตบนดิน
        เป็นกล้วยไม้ที่มีรากหรือส่วนของลำต้นอาศัยที่ผิวหน้าดินหรือใต้ผิวดินที่เรียกว่า “ลำต้นใต้ดิน” หลายชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ทุกฤดูกาล เช่น ว่านน้ำทอง ว่านนกฮูม มักพบกล้วยไม้เหล่านี้ในป่าดงดิบ หลายชนิดมีการพักตัวในฤดูกาลที่ไม่เหมาะสมโดยเหลือเพียงลำต้นใต้ดินเท่านั้น เช่น สกุลลิ้นมังกร สกุลท้าวคูลู สกุลว่านอึ่ง สกุลบัวสันโดษ เป็นต้น กล้วยไม้กลุ่มนี้มีจำนวนชนิดรองลงมาจากกลุ่มกล้วยไม้อิงอาศัย








3.กล้วยไม้อาศัยบนหิน (lithophytic orchid)
        เป็นกลุ่มกล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโตและขยายเผ่าพันธุ์ได้โดยอาศัยอยู่บนหินแทนการยึดเกาะบนดินหรือต้นไม้ มักพบอยู่ใกล้กับมอสและไลเคน กล้วยไม้กลุ่มนี้ เช่น ม้าวิ่ง เอื้องกระเจี้ยง เอื้องคำหิน เป็นต้น

กล้วยไม้ที่เจริญเติบโตอยู่หน้าผา
กล้วยไม้ที่เจริญเติบโตอยู่บนโขดหิน























3. ลักษณะการเติบโตของกล้วยไม้ มี 2 ประเภท คือ

1.ประเภทแตกกอ (Sympodial)
        ลักษณะการเจริญเติบโตนั้น ลำต้น(ลำต้นแท้หรือเหง้า)จะเจริญไปตามแนวนอนของเครื่องปลูก ส่วนที่งอกออกมาจากเหง้าอาจมีเพียงแค่ใบ เช่น กล้วยไม้สกุลรองเท้านารี หรืออาจมีลำลูกกล้วยกับใบเท่านั้น เช่น กล้วยไม้แคทลียา ตาที่อยู่ระหว่างลำลูกกล้วยกับเหง้านั้น มีความสมบูรณ์มาก ซึ่งหากลำลูกกล้วยนั้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ตาก็จะแตกหน่อออกมาใหม่ กล้วยไม้ที่มีลักษณะแตกกอ เช่น กล้วยไม้สกุลแคทลียา สกุลหวาย สกุลสิงโตกลอกตา เป็นต้น




2.ประเภทไม่แตกกอ (Monopodial)
        มีการเจริญเติบโตขึ้นไปทางยอด ตาที่ยอดจะแตกใบใหม่ขึ้นเรื่อยๆ และส่วนของโคนต้นจะแห้งตายไล่ ขึ้นมาเรื่อยๆ หากล้วยไม้มีความสมบูรณ์แข็งแรงดี ตาที่ข้อของลำต้นจะแตกยอดออกมาเป็นยอด
        กล้วยไม้ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะมีรากเป็นแบบรากอากาศ รากบางส่วนจะยึดเกาะเครื่องปลูกไว้ รากอีกส่วนจะยื่นไปในอากาศ การเรียงตัวของใบจะมีลักษณะทับซ้อนกัน ส่วนมากใบจะหนาและแบน กล้วยไม้ในสกุลนี้ ได้แก่ สกุลแวนด้า สกุลช้าง สกุลเสือโคร่ง เป็นต้น







4. ระบบรากของกล้วยไม้
        การจำแนกกล้วยไม้ตามระบบราก หากรู้เรื่องระบบราก จะช่วยแนะนำเราในการเลือกใช้เครื่องปลูก ให้เหมาะสมกับรากชนิดนั้น นอกจากนี้ การเลือกเครื่องปลูกที่เหมาะสมจะทำให้กล้วยไม้มีความแข็งแรงสมบูรณ์ด้วย

ระบบรากกล้วยไม้มี 4 ประเภท คือ

       1.รากดินเป็น รากที่เกิดจากหัว ที่หัวอยู่ใต้ดิน ตัวรากมีน้ำมาก มักจะพบกล้วยไม้ ชนิดนี้อยู่ตามธรรมชาติ หรือในที่ที่มีฤดูกาลเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เช่น ในช่วงฤดูฝนกล้วยไม้ จะแตกหน่อออกใบ ผลุดขึ้นมาบนดิน และเมื่อถึงฤดูแล้งก็จะเหี่ยวเฉาลงไป คงเหลือไว้เพียงหัวที่เก็บน้ำและมีอาหารไว้ กล้วยไม้ที่มีรากเป็นระบบรากดินในประเทศไทยนั้น มีน้อย เช่น สกุล ...


       2.รากกึ่งดิน ลักษณะเหมือนๆรากดิน แต่หัวอาจจะอยู่บนดิน แต่รากไม่อาบน้ำ รากแทบไม่มีขนอ่อน ในบางครั้ง แม้ว่าใบร่วงหมด คงเหลือเพียงหัว แต่เมื่อได้รับความชื้น และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะแตกหน่อออกใบใหม่ เช่น สกุลเอื้องพร้าว รองเท้านารี


รากกึ่งอากาศของกล้วยไม้แคทลียา
       3. รากกึ่งอากาศ กล้วยไม้ชนิดนี้ มักพบอยู่บนดิน หิน หรือบนต้นไม้ รากมีลักษณะน้ำสามารถดูดน้ำเก็บไว้ได้มาก รากมีขนาดเล็กกว่ารากอากาศ รากส่วนมากจะหลบอยู่ในกระถาง แต่อาจมีรากบางเส้นโผล่ออกมา กล้วยไม้ที่มีรากประเภทนี้ไม่ชอบเครื่องปลูกที่แน่น หรือ เปียกแฉะนานเกินไป ซึ่งจะทำให้รากได้รับอากาศไม่เพียงพอ กล้วยไม้ที่มีรากชนิดนี้ได้แก่ สกุลแคทลียา ออนซิเดียม ซิมบิเดียม เป็นต้น




รากกึ่งอากาศของกล้วยไม้ซิมบิเดียม


รากของกล้วยไม้สกุลช้าง
       4.รากอากาศ ส่วนใหญ่เป็นกล้วยไม้ที่ชอบอยู่บนต้นไม้ รากมีขนาดใหญ่ ซึ่งทำหน้าที่เก็บน้ำเพื่อเลี้ยงตัวมันเอง ทนต่อความแห้งแล้งได้ดีมาก หากนำมาปลูกกล้วยในกระถางดินเผา รากจะเกาะกับภาชนะปลูก เพื่อยึดลำต้นให้มั่นคง รากจะแตกกิ่งการออกไปเรื่อยๆ หากกล้วยไม้เป็นสมบูรณ์แข็งแรงดี กล้วยไม้ที่มีรากระบบ เช่น สกุลช้าง แวนด้า เข็ม เป็นต้น












5. ลำต้น
        ลำต้น คือ ส่วนที่เป็นข้อ บริเวรส่วนหเหนือของเข่อ จะมีตา ซึ่งตาจะสามารถออกเป็นหน่ออ่อร กิ่งอ่อน หรือช่อดอกได้ ลำต้นของกล้วยไม้มี 2 ประเภท คือ ลำต้นแท้จริง จะมีข้อปล้องเหมือนพืชทั่วๆไป เหนือข้อก็จะมีตา ซึ่งสามารถเจริญเป็นหน่อใหม่ หรือเป็นช่อดอกได้ มีการเจริญเติบโตทางยอด เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า ช้าง รองเท้านารี เป็นต้น
ลำต้นเทียม (Pseu) มีลักษณะเป็นหัวเรียกว่าลำลูกกล้วย ซึ่งทําหน้าที่เก็บอาหารไว้ ตาที่อยู่ตามข้อบนๆของลำลูกกล้วย สามารถแตกเป็นหน่อใหม่ หรือช่อดอกได้ กล้วยไม้ประเภทนี้ มีลำต้นที่แท้จริง ซึ่งเรียกว่า เหง้า (Rhizome) ซึ่งมีการเจริญเติมโตไปในแนวนอน กล้วยไม้ที่มีลำต้นลักษณะ นี้ เช่น กล้วยไม้สกุลหวาย แคทลียา เป็นต้น


6. ใบ
        ใบของกล้วยไม้มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ตามชนิดของกล้วยไม้นั้นๆ เช่น ขนาด ใหญ่-เล็ก รูปร่าง กลม-แบน หรือการเรียงตัวของใบ นอกจากใบแล้ว ยังมีส่วนที่เป็นกาบใบ คือมีลักษณะเป็นแผ่นบางๆ ต่อลงไปจากโคนใบซึ่งทำหน้าที่คล้ายก้านใบ กาบใบมี 2 ประเภท คือ
กาบใบกล้วยไม้ประเภทแตกกอ จะโอบลำลูกกล้วยตรงส่วนปล้อง ซึ่งอยู่เหนือจากข้อที่โคนกาบใบนั้นติดอยู่ กล้วยไม้บางชนิดจะไม่มีกาบใบ
กาบใบกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอ เชื่อมโยงระหว่างโคนของแผนใบกับลำต้นตรงข้อของลำต้น กาบใบมีลักษณะเป็นแผ่นบาง โอบรอบลำต้น เช่น กล้วยไม้สกุลแวนด้า
        หน้าที่หลักของใบ คือ การสังเคราะห์แสง แต่ใบยังสามารถช่วยให้รากสามารถดูดน้ำและสารอาหารเขาสู่ลำต้นได้โดยการแทนที่น้ำที่ระเหยออกไป


7. ช่อดอก
        ช่อดอกของกล้วยไม้โดยทั่วไปจะอยู่ชิดกับลำต้น หรือลำลูกกล้วย ลักษณะของก้านช่อดอก
มี 2 ลักษณะ คือ

  1. ลักษณะก้านช่อแบบแตกแขนง
  2. ลักษณะแบบไม่แตกแขนง



8. ดอก
        ดอกกล้วยไม้นั้น จัดเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน ดอกกล้วยไม้มีกลีบด้านนอก 3 กลีบ และกลีบด้านในอีก 3 กลีบ รวมเป็น 6 กลีบ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไป สำหรับกลีบใน จะมีกลีบคู่หนึ่งเหมือนกัน และกลีบอีกอันแตกต่างกัน ซึ่งถูกเรียกว่า “ปาก”

สีชมพูที่โดดเด่น เรียกว่า "ปาก"


9. ฝักของกล้วยไม้
        หลังจากที่ดอกถูกผสมเกสรแล้ว ส่วนของก้านดอกซึ่งเป็นรังไข่จะเจริญเป็นฝักกล้วยไม้ ฝักมีเมล็ดกล้วยไม้อยู่ภายใน อายุของฝักกล้วยไม้มีตั้งแต่ 2 เดือนไปจนถึง 6 เดือน ภายในของฝักอาจมีเมล็ดมากถึง 4 ล้านเมล็ด ลักษณะฝักเป็นรูปรักบี้ มีภัพพะ แต่ไม่มีอาหารสะสมอยู่ เมล็ดกล้วยไม้จึงมีโอกาสงอกน้อย เนื่องจากเมล็ดมีขนาดเล็กมาก และเบา จึงสามารถปลิวไปตามกระแสลมได้ง่าย

ฝักกล้วยไม้สิงโตกลอกตา
ฝักกล้วยไม้สิงโตพัดแดง

10. จำแนกตามลักษณะที่ขึ้นอยู่ในสภาพธรรมชาติ
  • กล้วยไม้อิงอาศัย (epiphytic orchid) มีประมาณ 65% ของกล้วยไม้ทั้งหมด กล้วยไม้ประเภทนี้ใช้รากเกาะเปลือกไม้โดยที่ไม่แย้งอาหารจากต้นไม้ หลายชนิดเจริญเติบโตบนโขดหินหรือหน้าผา อาจเรียกกล้วยไม้พวกนี้ว่า กล้วยไม้อิงอาศัยบนหิน (lithophytic orchid)
  • กล้วยไม้ดิน (terrestrial orchid) ขึ้นตามพื้นดินหรือซอกหินที่มีซากพืชที่สลายตัว ส่วนใหญ่ กล้วยไม้ดินมักมีการเจริญเติบโตเป็นฤดูการ มีช่วงของการมีใบ ดอก และฝักเฉพาะฤดูกาลเท่านั้น นอกจากนี้ กล้วยไม้ที่พบตามพื้นดินยังมีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นพวกที่ไม่มีการสร้างใบหรือลำต้นที่มีสีเขียว มันจึงไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ แต่มันจะได้อาหารจากการย่อยสลายของซากพืช เรียกว่า กล้วยไม้กินซาก (saprohytic orchid)