กล้วยไม้สกุลสิงโต (พันธุ์แท้)


กล้วยไม้สิงโต ปีกแมงภู่
กล้วยไม้สิงโต นกเหยี่ยวใหญ่
กล้วยไม้สิงโต รวงทอง
กล้วยไม้สิงโต ขนตาแดง
กล้วยไม้สิงโต สมอหิน
กล้วยไม้สิงโต ก้ามปูแดง
Cirrhopetalum curtisii
กล้วยไม้สิงโต สิงโตพัดแดง
กล้วยไม้สิงโต มาโกยานั่ม x สิงโตพัดแดง สิงโตกลอกตา
กล้วยไม้สิงโตแดง สกุล สิงโตกลอกตา
สิงโตกลีบหลอด สิงโตกลอกตา
กล้วยไม้สิงโต เครายาว 
กล้วยไม้สิงโตนักกล้าม
กล้วยไม้ สิงโตนักกล้าม หลังคาดำ

      กล้วยไม้สกุลสิงโตกลอกตา มีมากในธรรมชาติ ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 รองจากกล้วยไม้สกุลหวาย พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ชื่อของกล้วยไม้ "bulbos" เป็นภาษากรีก ซึ่งแปลว่า "หัว" และ "phyllon" แปลว่า "ใบ" รวมกันแล้ว แปลว่า "หัวและใบ" ซึ่งเป็นลักษณะของกล้วยไม้ชนิดนี้

      กล้วยไม้สกุลสิงโตกลอกตา มีประวัติอันยาวนาน สกุล Bulbophyllum ถูกตั้งขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1822 ในสกุลสิงโตกลอกตานี้ มีสายพันธุ์มากกว่า 2000 ชนิด ส่วนใหญ่กระจายพันธุ์ในเขตร้อน ซึ่งยากที่นักวิทยาศาสตร์จะเข้าไปศึกษา กล้วยไม้สกุลนี้ จึงมีการตั้งชื่อซ้ำกันมากกว่าสกุลอื่นๆ ในปัจจุบัน ก็ยังคงพัฒนาพันธุ์ใหม่ๆมากมาย

ประเภทการเจริญเติบโต
      กล้วยไม้สิงโต เป็นกล้วยไม้อิงอาศัย เป็นกล้วยไม้ที่อาศัยบนต้นไม้ยืนต้น ใช้รากยึดเกาะต้นไม้ให้ติดแน่นเพื่อพยุงลำต้น และยังสามารถหาอาหารมาเลี้ยงลำต้นด้วย

ลักษณะการเจริญเติบโต
      ลำต้น(ลำต้นแท้หรือเหง้า) จะเจริญไปตามแนวนอนของเครื่องปลูก ส่วนที่งอกออกมาจากเหง้าอาจมีเพียงแค่ใบ คล้ายกล้วยไม้สกุลรองเท้านารี หรืออาจมีลำลูกกล้วยกับใบเท่านั้น เช่น กล้วยไม้แคทลียา ตาที่อยู่ระหว่างลำลูกกล้วยกับเหง้านั้น มีความสมบูรณ์มาก ซึ่งหากลำลูกกล้วยนั้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ตาก็จะแตกหน่อออกมาใหม่ กล้วยไม้ที่มีลักษณะแตกกอ

ระบบรากของกล้วยไม้สิงโต
      รากกึ่งอากาศ กล้วยไม้ชนิดนี้ มักพบอยู่บนดิน หิน หรือบนต้นไม้ รากมีลักษณะน้ำสามารถดูดน้ำเก็บไว้ได้มาก รากมีขนาดเล็กกว่ารากอากาศ รากส่วนมากจะหลบอยู่ในกระถาง แต่อาจมีรากบางเส้นโผล่ออกมา กล้วยไม้ที่มีรากประเภทนี้ไม่ชอบเครื่องปลูกที่แน่น หรือ เปียกแฉะนานเกินไป ซึ่งจะทำให้รากได้รับอากาศไม่เพียงพอ กล้วยไม้ที่มีรากชนิดนี้ได้แก่ สกุลแคทลียา ออนซิเดียม ซิมบิเดียม เป็นต้น

ดอก
  • กลีบเลี้ยงบน;
  • กลีบเลี้ยงล่าง ;
  • กลีบดอกบน;
  • ปาก;

ช่อดอก
      ออกที่โคนลำลูกกล้วย หนึ่งลำมีทั้งดอกเดี่ยวและหลายๆดอกในช่อเดียวกัน มีทั้งช่อดอกสั้นและยาว ในประเทศไทยช่อดอกที่มี 4-8 ช่อ พบได้เพียงชนิดเดียวคือ สิงโตทองผาภูมิ ลักษณะของช่อดอกนั้นมีหลายแบบดังนี้
  • ช่อดอกแบบซี่ร่ม (umbel) พบได้บ่อยอยู่ในกลุ่มสิงโตพัดหรือสิงโตร่ม มีลักษณะคือก้านของช่อดอกเรียวยาวและตรง ออกจากโคนลำลูกกล้วย ปลายช่อมีก้านดอกยื่นออกจากจุดเดียวกันตามจำนวนของดอกปลายก้านมีดอกย่อยเรียงแผ่เป็นรัศมีคล้ายกับซี่ของร่มที่กาง
  • ช่อดอกแบบกระจะ(raceme) พบมากที่สุด ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของสิงโตรวงข้าว ช่อดอกมักจะมีสองส่วน คือ ก้านช่อดอกและแกนช่อดอก ก้านช่อดอกจะติดกับโคนของลำลูกกล้วยชูตั้งหรือห้อยลง ก้านดอกจะสั้นหรือยาวแตกต่างกัน แกนช่อดอกที่ทีดอกติดอยู่จะยาวตรงออกจากแนวของก้านช่อดอกหรือห้อยลงจากก้านช่อดอก เช่นกลุ่มสิงโตใบพาย

ใบกล้วยไม้สิงโต
      โดยทั่วไป กล้วยไม้สิงโตจะมีใบโผล่ออกมาจากปลายของลำลูกกล้วย ประมาณ 1 หรือ 2 ใบเท่านั้น ส่วนมากมีแค่ใบเดียว กล้วยไม้สิงโตบางชนิด มีหัวเล็กมาก จนแทบเป็นปม ใบอวบน้ำ หนา แข็ง เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว กล้วยไม้สิงโตจะทิ้งใบ เหลือลำลูกกล้วยไว้สะสมอาหาร

การให้น้ำกล้วยไม้สิงโต
      กล้วยไม้สกุลสิงโต ชอบความชุ่มชื้น สถานที่ๆปลูกเลี้ยง ควรมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา ในฤดูร้อน ไม่ควรปล่อยให้กล้วยไม้สิงโตแห้ง ซึ่งกล้วยไม้อาจตายได้ ในฤดูฝน ในช่วงฝนตกชุก ไม่ควรรดน้ำกล้วยไม้ เพราะอาจจะทำให้กล้วยไม้สิงโตเน่าตาย

ปุ๋ยกล้วยไม้สิงโต
      ก่อนการให้ปุ๋ย ควรรดน้ำให้กล้วยไม้ชุ่มก่อน จากนั้นก็ฉีดปุ๋ยใส่ เพราะว่ากล้วยไม้ทุกชนิด จะสามารถดูซึมสารอาหารได้ทางรากและใบ ซึ่งในขณะที่ต้นกำลังเปียกอยู่ จะมีความสามารถดูดซึมปุ๋ยได้ดีกว่าต้นที่แห้ง ปุ๋ยที่ใช้ ควรเป็นปุ๋ยสูตรเสมอ การให้ปุ๋ย อาจจะให้สักเดือนล่ะครั้ง หรือ 2 ครั้งเท่านั้น

อุณหภูมิ และแสงแดด
      กล้วยไม้สิงโตชอบแสงแดดรำไรนิดหน่อย ควรมีการพรางแสงประมาณ 50 ถึง 60 เปอร์เซ็นเท่านั้น หากโดนแสงโดยตรง กล้วยไม้สิงโตจะใบแห้ง และทิ้งใบอย่างรวดเร็ว

การกระจายพันธุ์
      ก็ น่ะ...